
คุณอาจติดตั้งโปรแกรมบนคอมพิวเตอร์ของคุณเป็นประจำ ซึ่งถือเป็นแนวทางปฏิบัติทั่วไป เมื่อติดตั้งซอฟต์แวร์จะมีการติดตั้งไฟล์หลายไฟล์ และอาจเป็นการติดตั้งรายการ Registry ในระบบของคุณ เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยโปรแกรมเพิ่มเติมแต่ละโปรแกรมที่คุณติดตั้งบนคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป อาจทำให้คอมพิวเตอร์เริ่มทำงานช้าลง และช้าลงไปอีกเมื่อใช้ไปในระยะเวลาหนึ่ง แล็ปท็อปอาจมีความอ่อนไหวต่อทำให้ระบบช้าลงได้มากขึ้น เนื่องจากโดยทั่วไปเครื่องคอมพิวเตอร์แบบแล็ปท็อป ส่วนใหญ่มักมีประสิทธิภาพน้อยกว่าคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป
แต่นี่คือปัญหาเมื่อคุณเลือกที่จะถอนการติดตั้ง เนื่องจากมีซอฟต์แวร์เหลืออยู่ โดยปกติคุณจะถอนการติดตั้งแอปจาก Control Panel แต่ไม่สามารถลบรายการไฟล์ได้ทั้งหมดได้และส่วนที่เหลือบางส่วน อาจจะถูกเก็บไว้ในฮาร์ดไดรฟ์ หรือใน Registry
หากคุณต้องการจัดการการลบโปรแกรมต่าง ๆ คุณมีอิสระที่จะล้างระบบของคุณเอง นี่คือคำแนะนำโดยละเอียดเกี่ยวกับวิธีการลบซอฟต์แวร์ที่เหลือในเครื่องของคุณ:
ขั้นตอนที่ 1: ใช้ Control Panel ถอนการติดตั้งโปรแกรม (วิธีลบโปรแกรมในคอม)
- เปิด Start menu ของคุณ และทำการเลือกค้นหาใน Control Panel.
- คลิกที่ Control Panel.
- คลิกที่ Programs and Features.
- ค้นหาซอฟต์แวร์ที่คุณต้องการถอนการติดตั้ง และคลิกขวาที่ซอฟต์แวร์ดังกล่าว

5. คลิกที่ Uninstall รอจนกว่ากระบวนการถอนการติดตั้งจะแล้วเสร็จ
6. ถอดถอนการติดตั้งซอฟต์แวร์จนสำเร็จ เพื่อดำเนินการต่อและออกจาก Control Panel
ขั้นตอนที่ 2: ลบไฟล์และโฟลเดอร์ที่ยังคงเหลืออยู่ของโปรแกรมที่ถอดถอนการติดตั้ง
ถึงแม้ว่าคุณจะถอนการติดตั้งซอฟต์แวร์ของคุณสำเร็จแล้ว แต่ข้อมูลบางส่วนของไฟล์อาจยังคงอยู่ในบางโฟลเดอร์ของระบบ ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องตรวจสอบไฟล์โปรแกรม และข้อมูลซอฟต์แวร์เพื่อลบออก ณ ที่นี่คุณควรตรวจสอบโฟลเดอร์เหล่านี้เพื่อหาสิ่งที่เหลือด้วยคำสั่ง:% programfiles% และ % appdata%
- กดปุ่ม Windows logo key + S บน Shortcuts ที่คีย์บอร์ดของคุณ
- พิมพ์คำว่า %programfiles% ไปยังช่อง Search box.
- โปรแกรมโฟลเดอร์จะถูกเปิดขึ้นมา
- ดูว่ามีโฟลเดอร์ใดบ้างที่มีชื่อของซอฟต์แวร์ที่ได้ถอนการติดตั้งไปแล้ว ให้ลบโฟลเดอร์ดังกล่าวทิ้ง
- พิมพ์คำสั่ง %appdata% ในกล่อง Search คุณจะถูกนำทางไปที่โฟลเดอร์ AppData


หากคุณพบโฟลเดอร์ที่มีชื่อของโปรแกรม หรือซอฟต์แวร์ที่คุณถอนการติดตั้งปรากฎขึ้น (ที่เป็นไปตามขั้นตอนที่ 1) ให้ทำการลบออก
หมายเหตุ: ผู้ใช้ระบบปฏิบัติการแบบ 64 บิตจะต้องตรวจสอบพาธไปยังโฟลเดอร์ “C:Program Files (x86)“ โดยในที่นี่เราถือว่า Windows ของคุณติดตั้งในไดรฟ์ C: หากคุณติดตั้ง Windows ในไดรฟ์อื่นให้แทนที่ C: ด้วยอักษรระบุไดรฟ์นั้น
ขั้นตอนที่ 3: ทำความสะอาด Windows Registry ของคุณ
เมื่อคุณถอนการติดตั้งโปรแกรมซอฟต์แวร์หลาย ๆ ครั้งรายการใน Windows Registry จะไม่ถูกลบโดยอัตโนมัติ โปรแกรมถอนการติดตั้ง อาจเพิ่มขนาด Windows Registry ได้
หากคุณต้องการถอนการติดตั้งซอฟต์แวร์อย่างสมบูรณ์ คุณจำเป็นที่จะต้องลบคีย์ออกจาก Windows Registry
หมายเหตุ: เมื่อทำการเปลี่ยนแปลงบางอย่างใน Windows Registry ของคุณ ให้โปรดระวังการกระทำที่อาจผิดพลาดต่อ Registry Key แม้เพียงผิดพลาดแค่เพียงครั้งเดียว นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ระบบของคุณไม่สามารถใช้งานได้อีก
1. พิม์คำว่า regedit ในคำสั่ง RUN หรือ Start Menu กด search box และกด Enter วินโดวส์ก็จะเปิด Registry Editor ขึ้นมาให้ใช้งาน
2. ตอนนี้ ให้ไล่ไปที่คีย์ต่อไปนี้ทีละรายการ :
HKEY_CURRENT_USERSoftware
HKEY_LOCAL_MACHINESOFTWARE
HKEY_USERS.DEFAULTSoftware
ผู้ใช้งานระบบปฏิบัติการแบบ 64 บิต จะต้องตรวจสอบคีย์พิเศษต่อไปนี้:
HKEY_LOCAL_MACHINESOFTWAREWow6432Node
3. สำรวจคีย์ที่กล่าวถึงข้างต้น และสังเกตดูว่าคุณสามารถหาคีย์ที่มีชื่อของโปรแกรมที่คุณถอนการติดตั้งได้หรือไม่ หากพบเจอ ให้ทำการลบคีย์ดังกล่าวทิ้ง

หากคุณได้รับข้อผิดพลาดขณะลบคีย์รีจิสทรี ซึ่งคุณอาจได้รับข้อความดังต่อไปนี้: “Cannot delete key: Error while deleting key” อย่าเพิ่งเป็นกังวลไป เนื่องจากคุณสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่คุณต้องทำคือหาสิทธิ์การเป็นเจ้าของคีย์ และเราจะแสดงวิธีสำหรับการดำเนินการดังกล่าว ตามขั้นตอนด้านล่างนี้:
- คลิกขวาที่คีย์ที่คุณลบไม่สำเร็จแล้วเลือก Permissions.
- จากนั้นเลือกตัวเลือกขั้นสูง Advanced option.
- ถ้าคุณเป็นผู้ใช้งาน Windows 7:
- ปที่แท็บเจ้าของ Owner
- ค้นหาคำว่า ‘Change owner to:’ และเลือกชื่อผู้ใช้งานของคุณ
- นอกจากนี้ให้ตรวจสอบ ‘Replace owner on subcontainers and objects’.
- คลิก Apply และกด OK เพื่อบันทึกค่าการเปลี่ยนแปลง
- สำหรับผู้ใช้งาน Windows 10:
- ไปที่ไฟล์ Owner และคลิกบนคำสั่ง Change.
- เมื่ออยู่ในหน้าต่าง Select User or Group ไปยังคำสั่ง ‘Enter the object name to select’ และป้อนชื่อผู้ใช้งานของคุณ
- อย่าลืมคลิกที่ไฟล์ Check Names button. และคลิก OK.
- การขออนุญาต Permissions สำหรับแสดงหน้าต่างจะเปิดขึ้น เมื่ออยู่ในแท็บ Security ให้ไปยัง Group หรือกล่อง user names และเลือก username ของคุณจากรายการที่แสดง
- ไปยังหน้า Permissions for Administrators เลือก Allow for Full Control
- คลิก Apply และกด OK เพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
ตอนนี้คุณสามารถลบคีย์รีจิสทรีที่คุณเป็นเจ้าของได้แล้ว
ขั้นตอนที่ 4: ล้างไฟล์ชั่วคราวบนคอมพิวเตอร์ของคุณ
ในการดำเนินการนี้คุณควรล้างไฟล์ในโฟลเดอร์ Temp ดังขั้นตอนต่อไปนี้:
1. เปิดกล่อง Search
2. พิมพ์คำว่า %temp% ลงในช่อง Search กด Enter เพื่อทำการล้างโฟลเดอร์
3. หลังจากนั้นให้พิมพ์คำว่า temp ลงไปในแถบ Search กด Enter ล้างโฟลเดอร์นี้ให้หมด
และนี่ก็จะทำให้ไม่มีร่องรอยของซอฟต์แวร์ที่ถูกลบ หลงเหลือไว้ในระบบของคุณ
หากคุณใส่ใจในความเป็นส่วนตัวเราอยากแนะนำให้ใช้ Bitdefender Total Security ด้วยฟังก์ชันคุณสมบัติ “File Shredder” ซึ่งช่วยให้คุณสามารถลบไฟล์ได้อย่างถาวร เมื่อคุณใช้ “File Shredder” คุณจะไม่สามารถกู้คืนไฟล์ที่ลบได้ แม้ว่าจะใช้ซอฟต์แวร์กู้คืนไฟล์ระดับมืออาชีพแล้วก็ตาม
วิธีใช้โปรแกรมลบอย่างถาวรโดยใช้ Bitdefender Total Security
เปิด Bitdefender Total Security ของคุณ > คลิกบน Utilities > คลิกที่ File Shredder

คลิกเลือก Add items

เพิ่มไฟล์ที่คุณต้องการที่จะลบ > คลิก OK

คลิกเลือกไปยัง Delete Permanently

คลิกที่ Yes, Delete

เพียงไม่กี่ขั้นตอน คุณก็จะทำการลบไฟล์ของคุณออกได้อย่างถาวร
หากคุณไม่เคยใช้ Windows Registry Editor มาก่อน วิธีข้างต้นอาจจะยากสำหรับคุณเล็กน้อย แต่ Bitdefender Total Security นั้น เป็นหนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับคุณในการลบไฟล์ที่ไม่จำเป็นทั้งหมดของคุณได้อย่างถาวร คุณสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่นี่